ส่วยของเถื่อนชายแดนใต้ขึ้นราคา! ตำรวจยศ "พ.ต.ต." ขอขาใหญ่เพิ่มจาก 2 แสนเป็น 6 แสนบาทต่อเดือน
โดย.. เมือง ไม้ขม
ไทยเรามีพรมแดนติดกับประเทศมาเลเซียอยู่ในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มากที่สุดที่ จ.นราธิวาสมีถึง 3 อำเภอ ได้แก่ อ.สุไหงโก-ลก อ.ตากใบ และ อ.แว้ง ส่วนใน จ.สงขลามี 2 อำเภอคือ อ.สะเดา กับ อ.นาทวี เช่นเดียวกับที่ จ.สตูลก็มี 2 อำเภอคือ อ.เมือง กับ อ.ควนโดน ด้าน จ.ยะลามีเพียงอำเภอเดียวคือ อ.เบตง
เป็นที่ทราบกันดีว่า พรมแดนทั้ง 8 อำเภอในชายแดนใต้ล้วนมีการลักลอบนำเข้า “ของเถื่อน” ส่วนที่ไหนจะมีมากน้อยหรือขนกันได้สะดวกอย่างไร ปัจจัยหลักผูกโยงอยู่กับกลไกอำนาจรัฐ โดยเฉพาะต้องถือเป็น “ทำเลทอง” ของตำรวจ ศุลกากร และสรรพสามิต
แม้เวลานี้การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 จะแทรกเป็นยาดำไปทั่วชายแดนใต้ แต่ก็ยังเป็นที่หมายปองของคนในวงการดังกล่าว มีการวิ่งเต้นเพื่อตีตั๋วนั่งระดับหัวหน่วยงานมาทุกยุคสมัย จึงอย่าได้แปลกใจที่จะต้องมีการจัดเตรียมเครื่องเซ่นไหว้ไว้บรรณาการเทวดาฟ้าดินกันอย่างทั่วถึงตลอดเวลา
เหล้า บุหรี่ น้ำมันเถื่อน รวมถึงสินค้าอุปโภคบริโภคอีกหลายสิบชนิด อาทิ หอม กระเทียม น้ำมันปาล์ม ฯลฯ ล้วนต้องการจ่าย “ส่วย” ให้ผู้เกี่ยวข้องจึงจะข้ามผ่านแดนเข้ามาได้
ล่าสุดมีข่าวสะพัดว่าหัวหน้าหน่วยในพื้นที่ ยศ “พ.ต.ต.” ได้เรียกขาใหญ่ไม่ว่าจะเป็น “เจ๊แมว” “เฮียหยอย” “เจ๊ปุก” “เจ๊ปลา” “เจ๊กะ” และบรรดาเจ๊ๆ เฮียๆ อีกมากหลายไปพบเพื่อขอเพิ่มยอดจาก 2 เป็น 6 แสน/เดือน โดยอ้างว่าเป็นประสงค์ของส่วนกลางที่เพิ่งมีการเปลี่ยนแปลง
ทำให้หลายคนจับตาไปที่ สตช. ซึ่งว่ากันว่า พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้แบ่งงานศูนย์ปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิง (ศปนม.ตร.) รวมถึงศูนย์ปราบปรามผู้มีอิทธิพล มือปืนรับจ้างและผู้ร้ายสำคัญ (ศปอร.ตร.) ให้ “บิ๊กใหม่” พล.ต.อ.สุชาติ ธีรสวัสดิ์ รับไปดูแล
ก่อนหน้านี้หน้าที่การปราบปรามน้ำมันเถื่อนเคยขึ้นตรงกับกองบัญชาการสอบสวนกลาง แต่ภายหลังมีการปรับเปลี่ยนใหม่ ซึ่งโอกาสคลี่คลายข้อสงสัยในเรื่องนี้น่าจะไม่นานคงมีสื่อนำไปตั้งคำถาม “บิ๊กใหม่” ที่มีภารกิจที่ต้องดูแลคดีสำคัญในภาคใต้อยู่ด้วยในเวลานี้คือ คดีลักรังนกบนเกาะสี่เกาะห้าที่ จ.พัทลุง
อย่างไรก็ตาม การขอขึ้น “ค่ารายการ” ตามคำเรียกขานของคนในวงการค้าของเถื่อน ปรากฏการณ์นี้ทำให้บรรดาขาใหญ่ในชายแดนใต้ต่าง “เต้นเป็นเจ้าเข้า” ไปตามๆ กัน เพราะนับเป็นอัตราที่ไม่ใช่แค่ก้าวกระโดด แต่ต้องถือเป็นการพุ่งทะยานแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ส่งผลให้มีขาใหญ่บางคนถึงกับวิ่งเข้าหา ส.ส.ในพื้นที่ให้ช่วยเคลียร์ บางคนรีบนั่งเครื่องบินเข้ากรุงเทพฯ ไปขอความช่วยเหลือบิ๊กกากีสายเลือดสะตอคนดัง และหลายรายยอมหยุดกิจการชั่วคราวเพื่อรอดูทิศทางลม เพราะเชื่อว่าไม่เฉพาะแต่ผู้ค้าเท่านั้น คนที่เรียกร้องขึ้นค่ารายการก็อาจต้องเผชิญการอดยากปากแห้งด้วยเช่นกัน
ความจริงแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นนับเป็นธรรมเนียมปฏิบัติธรรมดาๆ ที่มักเกิดขึ้นแทบจะทุกครั้งเมื่อมีการปรับเปลี่ยนโยกย้ายผู้รับผิดชอบในตำแหน่งสำคัญๆ ส่วนจะเป็นการสั่งการมาจากส่วนกลางจริงหรือไม่ หรือเป็นการแอบอ้างจากผู้ดูแลในพื้นที่เสียเองก็ยากที่ใครจะไปรู้ได้
นี่จึงนับเป็นอีกเรื่องอื้อฉาวที่ไม่ต่างจากกรณี “เทปลับ” ไฟเขียวให้โจรขึ้นเกาะไปลักรังนกที่ จ.พัทลุง จนมีการย้าย “ผกก.สภ.ปากพะยูน” และ “สว.สภ.เกาะนางคำ” หรือกรณี “ซ้อปลา” แม่ค้าออนไลน์ อ.สิงหนคร จ.สงขลา กล่าวหาว่า “สารวัตรเบียร์” กสส.6 ภ.จว.สงขลา อมเงิน 5 ล้านบาท อีกทั้งกรณีกลุ่มผู้ต้องหามั่วสุมกล่าวหาตำรวจ สภ.คอหงส์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เรียกเงิน 1 ล้านแลกการปล่อยตัว
แน่นอนอาจจะไม่ได้รับความสนใจจากสังคมเท่ากับกรณี “สารวัตรโจ้” ใช้ถุงดำคลุมหัวผู้ต้องการค้าที่ที่ สภ.นครสวรรค์ แต่ก็ต้องถือว่าเป็นเรื่องฉาวโฉ่ในวงการสีกากีที่ พล.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ควรต้องเร่งดำเนินการสะสางเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้เกิดขึ้นกับประชาชน
เท็จจริงอย่างไรไม่รู้ เพราะต้องมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงขึ้นมาทำงานก่อน แต่ในความรู้สึกประชาชนที่รับรู้ข่าวสารน่าจะเชื่อไปแล้ว เพราะเวลานี้ “ต้นทุนทางสังคม” ของตำรวจดูเหมือนจะต่ำเตี้ยเรี่ยดินเสียเหลือเกิน
เกี่ยวกับเรื่องนี้แหล่งข่าวผู้คร่ำหวอดการค้าสินค้าข้ามไทยไทย-มาเลเซียบอกเล่าให้พังว่า ที่ผ่านๆ มาบรรดาขาใหญ่ในชายแดนภาคใต้ต้องจ่ายส่วยในพื้นที่และส่วนกลางเป็นรายเดือนมาตลอด ซึ่งรวมๆ แล้วมีมากถึง 28 หน่วยงาน
“เราเคยพูดกันเล่นๆ สำหรับคนในแวดวงว่า เมื่อไล่ดูรายชื่อหน่วยงานแล้วน่าจะเหลือเพียงลูกเสือชาวบ้านเท่านั้นที่ยังไม่มีในทำเนียบ” แหล่งข่าวกล่าวติดตลก แต่สีหน้าท่าทางดูเหมือนจะหัวเราะไม่ออก
เป็นที่น่าสังเกตว่าพื้นที่ชายแดนไทย-มาเลเซีย แม้เวลานี้จะมีผู้คนติดเชื้อโควิด-19 จำนวนมากมาย แต่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อวงการสินค้าเถื่อนข้ามแดนแต่อย่างใด หลายคนยังมองว่าโรคระบาดทำให้มาเลเซียปิดประเทศ สินค้าเถื่อนจึงไม่น่าจะข้ามแดนมาได้
แต่แท้จริงแล้วตั้งแต่เกิดภาวะโรคระบาดช่วง 2 ปีมานี้ คนในหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกลับมีสภาพเดินพุงปลิ้นไปตามๆ กัน อันเป็นไปท่ามกลางความบอบซ้ำของประเทศที่ยอดการเก็บภาษีไม่ว่าจะเป็นจากเหล้า บุหรี่ น้ำมันเชื้อเพลิง รวมถึงสินค้าอุปโภคบริโภคอื่นๆ ลดน้อยถอยลงมาอย่างต่อเนื่อง
วันนี้ น้ำมันเถื่อนถูกลำเลียงมากับเรือประมงไปขึ้นที่ จ.นครศรีธรรมราชกับ จ.สงขลา กลายเป็นเส้นทางหลัก เหล้าเถื่อนย้ายฐานจากการนำเข้าทางบกผ่านชายแดน อ.สะเดา จ.สงขลา ไปสู่ทางเรือใน จ.สตูลมากขึ้น แต่ไม่ว่าอย่างไร “ส่วยสินค้าข้ามแดน” ในพื้นที่ จ.สงขลาก็ยังถือว่ามากที่สุด
สำหรับ “บิ๊กเขียว” พล.ต.ท.นันทเดช ย้อยนวล ผบช.ภ.9 คนใหม่ เชื่อว่าน่าจะรับรู้แล้ว ส่วนจะจัดการหรือไม่ อย่างไร นั่นก็เป็นเรื่องของท่าน เพราะในยุทธจักรสีกากีเคยมีอะไรแปลกๆ เยอะ อย่าว่าแต่ระดับ “พ.ต.ท.” มีอิทธิฤทธิ์เลย ขนาด “นายดาบ” แสดงมีบารมีเหนือ “นายพล” ก็มีให้เห็นแล้ว
เนื่องเพราะที่นี่...“ประเทศไทย”
ไม่มีความคิดเห็น: