ศาล รธน.เสียงข้างมาก 8 ต่อ 1 “อานนท์ รุ้ง ไมค์ ” ล้มล้างการปกครอง สั่งเครือข่ายห้ามกระทำอีก
การเมือง: เปิดคำวินิจฉัยศาลรธน. เสียงข้างมาก 8 ต่อ 1 ชี้ 3 แกนนำ “อานนท์ –รุ้ง- ไมค์ ” ล้มล้างการปกครอง ทำลายล้างสถาบัน เซาะกร่อนบ่อนทำลายประชาธิปไตย ใช้เสรีภาพโดยไม่รับฟังความคิดเห็นผู้อื่น ปลุกระดมใช้ข้อมูลเป็นเท็จ ก่อความวุ่นวายในสังคม สั่งเครือข่ายห้ามกระทำอีก ยันสถาบันกษัตริย์ต้องธำรงไว้
10 พ.ย. - เมื่อเวลา 15.00 น. ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญออกนั่งบัลลังก์อ่านคำวินิจฉัยกรณีนายณัฐพร โตประยูร ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 ว่าการกระทำของนายอานนท์ นำภา นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือ ไมค์ น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ รุ้ง ชุมนุมปราศรัยเพื่อเสนอข้อเรียกร้องเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 วรรคหนึ่งหรือไม่ จากกรณีการชุมนุมปราศรัยในวันที่ 10 สิงหาคม 2563 ซึ่งจัดขึ้นที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เพื่อเสนอข้อเรียกร้อง10 ข้อเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์
ศาลได้พิจารณาคำร้องคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาเอกสารชี้แจงจากหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องแล้วเห็นว่าคดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่าการกระทำของผู้ถูกร้องทั้ง 3 เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่งหรือไม่ ข้อเท็จจริงตามคำร้อง คำชี้แจงพยานหลักฐานต่างๆ รวมทั้งบันทึกเสียงคำปราศรัยของผู้ถูกร้องทั้ง 3 ฟังเป็นที่ยุติว่าผู้ถูกร้องทั้ง 3 ปราศรัยในที่สาธารณะหลายครั้งหลายหลายสถานที่ต่อเนื่องกัน ตั้งแต่วันที่ 3 สิงหาคม 63 เรียกร้องให้ดำเนินการแก้ไขเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยการชุมนุมที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์รังสิตเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 63 ผู้ถูกร้องทั้งอภิปรายเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยข้อเรียกร้อง 10 ข้อ
กรณีมีข้อโต้แย้งที่ต้องวินิจฉัยก่อนว่าคำร้อง คลุมเครือไม่ชัดเจนครบองค์ประกอบตามมาตรา 49 หรือไม่เห็นว่า เมื่อพิจารณาคำร้องเป็นการอ้างถึงการที่ผู้ถูกร้องปราศรัยเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 63 ในเวทีธรรมศาสตร์จะไม่ทน ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต มีเนื้อหาบิดเบือนจาบจ้วง ล้อเลียน หมิ่นพระบรมเดชานุภาพสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นการกระทำที่มีเจตนาล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 โดยที่เอกสารต่างๆ รวมทั้งถอดคลิปเสียงที่แสดงถึงการกระทำของผู้ถูกร้องทั้ง 3 กับพวกประกอบมาท้ายคำร้อง ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของคำร้องเช่นนี้ คำร้องจึงมีความชัดเจนและเพียงพอที่จะทำให้ผู้ถูกร้องทั้ง 3 เข้าใจสภาพของการกระทำที่เป็นข้อกล่าวหาสามารถต่อสู้คดีได้ ข้อโต้แย้งนี้ของผู้ถูกร้องทั้ง 3 จึงฟังไม่ขึ้น
ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่าการกระทำของผู้ถูกร้องทั้ง 3 เป็นการใช้สิทธิ์หรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่งหรือไม่ พิจารณาเห็นว่าหลักการตามรัฐธรรมนูญรากฐานระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข คุณค่าทางรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นแก่นของการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขประกอบด้วยคุณค่าสำคัญ ได้แก่ การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของปวงชนชาวไทยตามรัฐธรรมนูญหมวด 3
ทั้งนี้ การคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนมีการบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญครั้งแรกในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยามพุทธศักราช 2475 มีการบัญญัติเรื่อยมาในรัฐธรรมนูญทุกฉบับ โดยรัฐธรรมนูญมาตรา 25 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่าสิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทยนอกจากที่บัญญัติคุ้มครองไว้เป็นการเฉพาะใน รัฐธรรมนูญแล้ว การใดที่ไม่ได้ห้ามหรือจำกัดไว้ในรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายอื่นบุคคลย่อมมีสิทธิเสรีภาพที่จะกระทำการนั้นได้ และได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญตราบเท่าที่การใช้สิทธิและเสรีภาพเช่นว่านั้นไม่กระทบกระเทือนหรือเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของรัฐ ความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน และไม่ละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลอื่น
บทบัญญัติดังกล่าวกำหนดหลักประกันเกี่ยวกับสิทธิและเสรีภาพของประชาชนแยกได้เป็น 2 ส่วน คือส่วนที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญเป็นการเฉพาะ และส่วนที่รัฐธรรมนูญหรือบทบัญญัติแห่งกฎหมายอื่นไม่ได้มีการบัญญัติห้ามไว้ ปวงชนชาวไทยซึ่งมีสิทธิและเสรีภาพดังกล่าวทั้งได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ ศาลรัฐธรรมนูญจึงให้การคุ้มครองการใช้สิทธิเสรีภาพทุกกรณีทั้งที่บัญญัติไว้เป็นการเฉพาะ และที่ไม่ได้มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือบทบัญญัติแห่งกฎหมายอื่นห้ามหรือจำกัดไว้ โดยมีเงื่อนไขว่าการใช้สิทธิและเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญคุ้มครองต้องไม่กระทบกระเทือนหรือเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของรัฐความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนและไม่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น เมื่อบุคคลมีสิทธิและเสรีภาพย่อมมีหน้าที่และความรับผิดชอบตามมาด้วย
หน้าที่ของบุคคลที่เกี่ยวเนื่องกับสิทธิและเสรีภาพทางการเมืองปรากฏชัดในรัฐธรรมนูญหมวด 4 หน้าที่ของปวงชนชาวไทยมาตรา 50(1)(3)(6)ที่กำหนดให้บุคคลมีหน้าที่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติศาสนาพระมหากษัตริย์และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดเคารพและไม่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่นและไม่กระทำการใดที่จะก่อให้เกิดการแบ่งแยกหรือเกลียดชังของสังคม
มาตรา 49 วรรคหนึ่งบัญญัติว่าบุคคลจะใช้สิทธิและเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมิได้ วรรคสอง บัญญัติว่าผู้ใดทราบว่ามีการกระทำตามวรรคหนึ่งย่อมมีสิทธิร้องต่ออัยการสูงสุดเพื่อร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทำดังกล่าวได้ วรรคสามบัญญัติว่าในกรณีที่อัยการสูงสุดมีคำสั่งไม่รับดำเนินการตามที่ร้องขอหรือไม่ดำเนินการภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้รับการร้องขอผู้ร้องสามารถยื่นคำร้องโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญก็ได้ และวรรคสี่บัญญัติว่าการดำเนินการตามมาตรานี้ไม่กระทบต่อการดำเนินคดีอาญาของผู้กระทำการของผู้กระทำการตามวรรคหนึ่ง
มาตรา 49 เป็นบทบัญญัติที่มีเจตนารมณ์ปกป้องคุ้มครองระบอบการปกครองของประเทศที่เป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ข้อกำหนดให้ผู้ที่ทราบว่ามีการกระทำอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขร้องต่ออัยการสูงสุดและกรณีที่อัยการสูงสุดไม่รับดำเนินการตามคำร้องขอภายใน 15 วัน ยื่นคำร้องโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญเองได้
นอกจากนี้ยังกำหนดให้การดำเนินการตามมาตราดังกล่าวไม่กระทบต่อการดำเนินคดีอาญากับผู้กระทำการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ดังนั้นรัฐธรรมนูญมาตรา 49 มุ่งหมายให้ปวงชนชาวไทยทุกคนมีส่วนร่วมในการปกป้องคุ้มครองและพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และกำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นองค์กรที่มีอำนาจในการทำหน้าที่ตรวจสอบและวินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทำที่เป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49
โดยหลักการตามมาตรา 49 วรรคหนึ่งบัญญัติเป็นครั้งแรกในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยามพุทธศักราช 2475 แก้ไขเพิ่มเติมพุทธศักราช 2495 มาตรา 35 และบัญญัติในทำนองเดียวกันในรัฐธรรมนูญทุกฉบับเป็นการวางหลักการเพื่อปกป้องการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จากภัยคุกคามอันเกิดจากการกระทำซึ่งเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญในลักษณะมุ่งหมายให้กลับกลาย และคุณค่าของรัฐธรรมนูญที่รองรับการดำรงอยู่ของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมีให้ล้มเลิกหรือสูญเสียไป หลักการตามหลักรัฐธรรมนูญมาตรา 49 วรรคสอง ปรากฏเป็นครั้งแรกในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 มาตรา 63 และบัญญัติในทำนองเดียวกันในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 มาตรา 68 เป็นบทบัญญัติที่มีวัตถุประสงค์กำหนดว่าเมื่อมีผู้ทราบถึงการกระทำอันเป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขบุคคลผู้นั้นย่อมมีสิทธิ์ร้องต่ออัยการสูงสุดเพื่อยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทำดังกล่าว
ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญ 2560 บัญญัติเพิ่มเพื่อให้เกิดความชัดเจนยิ่งขึ้นว่าถ้าอัยการสูงสุดมีคำสั่งไม่รับคำร้องตามที่ร้องขอภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้รับการร้องขอผู้ร้องยื่นคำร้องโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญเองได้บทบัญญัติดังกล่าวเป็นการรับรองสิทธิของพลเมืองในการปกป้องรัฐธรรมนูญจากการกระทำของบุคคล หรือกลุ่มบุคคลที่ใช้สิทธิหรือเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญในประการที่นำไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ดังนั้นการใช้สิทธิ์ปกป้องรัฐธรรมนูญถือเป็นกลไกหนึ่งของระบบยุติธรรมทางรัฐธรรมนูญโดยบุคคลที่ใช้สิทธิในการปกป้องรัฐธรรมนูญจะต้องยื่นคำร้องต่ออัยการสูงสุดเพื่อพิจารณาตรวจสอบข้อเท็จจริงตามคำร้องก่อนเสนอเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทำดังกล่าว อัยการสูงสุดมีคำสั่งไม่รับดำเนินการตามที่ร้องขอหรือไม่ดำเนินการภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้รับการร้องขอรัฐธรรมนูญก็รับรองสิทธิของผู้ร้องในการยื่นคำร้องโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญได้เอง การรับรองสิทธิของผู้ร้องในกรณีดังกล่าวเป็นการสร้างหลักประกันการธำรงไว้ซึ่งหลักการอันเป็นสาระสำคัญแห่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเมื่อใดที่ปรากฏการกระทำที่เข้าข่ายเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขการกระทำในลักษณะดังกล่าวย่อมถูกกล่าวหาเป็นคดีในศาลรัฐธรรมนูญได้
ข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามคำร้องคำร้องเพิ่มเติม คำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาและพยานหลักฐานต่างๆที่สำนักงานอัยการสูงสุดร่วมกับสถานีตำรวจภูธรคลองหลวง จ.ปทุมธานี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ส่งศาลรัฐธรรมนูญ ระบุว่าเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2563 ผู้ถูกร้องทั้ง 3 จัดชุมนุมปราศรัย เวทีธรรมศาสตร์จะไม่ทน ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต
การปราศรัยของนายอานนท์ นำภา ผู้ถูกร้องที่ 1 ปราศรัยถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ว่า “ที่เรามาชุมนุมกันในวันนี้ เพื่อยืนยันว่านอกจากข้อเสนอ 3 ข้อที่เราพูดกันอยู่ทุกเวที ความจริงมีข้อเสนอระหว่างบรรทัดที่เป็นข้อเสนอสำคัญที่สุดคือการแก้ปัญหาการขยายพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ และผมขอยืนยันอีกครั้งว่านี่ไม่ใช่ม็อบล้มเจ้า ไม่ใช่ม็อบจาบจ้วง แต่เป็นม็อบที่พูดความจริงเกี่ยวกับปัญหาบ้านเมือง ประเด็นสำคัญที่ผมจะพูดวันนี้คือข้อเรียกร้องระหว่างบรรทัดของพวกเราระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขนั้นหมายถึงกษัตริย์ต้องอยู่เหนือการเมืองและอยู่ใต้รัฐธรรมนูญพระราชกรณียกิจอันใดที่ทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองต่อไปนี้ต้องถูกตั้งคำถามดังๆ ต่อสาธารณะเราอยากเห็นสถาบันพระมหากษัตริย์ปรับตัวเข้าหาประชาชนไม่ใช่ให้เราปรับตัวเข้าหาสถาบันพระมหากษัตริย์ การอยู่ใต้รัฐธรรมนูญเป็นสาระสำคัญของการปกครองที่พวกเรามีอยู่แต่ปัญหามันเกิดขึ้นเมื่อสถาบันพระมหากษัตริย์พยายามใช้อำนาจผ่านการรัฐประหาร ปี 2557 พระมหากษัตริย์ ถ้ายังเป็นพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ต้องไม่เซ็นรับรองการรัฐประหาร หากการรัฐประหารเกิดขึ้นพระมหากษัตริย์ต้องอยู่ฝ่ายประชาธิปไตยเท่านั้น”
ส่วนนายภาณุพงศ์ จาดนอก ผู้ถูกร้องที่ 2 กล่าวถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ว่า ”นับแต่คณะราษฎรนำโดยท่านปรีดี พนมยงค์ และท่านพระยาพหลพลพยุหเสนาได้มีการปฏิวัติสยามจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตยและให้กษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญปัจจุบันผมคิดว่าการใช้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ยังใช้ยาวมาจนถึงรัชกาลปัจจุบันเพราะกษัตริย์อยู่เหนืออำนาจอธิปไตยทั้ง 3 อำนาจอำนาจตุลาการ อำนาจบริหาร อำนาจนิติบัญญัติ ถามว่าทำไมต้องพูดแบบนี้ ท่านเคยรู้หรือไม่ครับว่าหมวดที่ 2 ของรัฐธรรมนูญมาตรา 6 วรรคสอง บอกไว้ว่าผู้ใดไม่สามารถฟ้องร้องกษัตริย์ได้ เช่นนี้แล้วแสดงว่าพระมหากษัตริย์อยู่เหนืออำนาจอธิปไตยที่ประชาชนเป็นเจ้าของ เจตนาการพูดของผมในครั้งนี้ต้องการให้พระมหากษัตริย์อยู่ในที่ที่เหมาะสมร่วมกับประชาชนคนไทยได้ และที่บอกว่าอยู่เหนืออำนาจอธิปไตยคือการอยู่เหนืออำนาจของประชาชนโดยที่ประชาชนไม่สามารถแตะต้องได้เพราะถ้าใครแต่ต้องคนนั้นต้องโดนมาตรา 112″
และ น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล ผู้ถูกร้องที่ 3 ประกาศกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุมฉบับที่ 1 มีสาระสำคัญสรุปว่า ”นับแต่คณะราษฎรเกิดการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองโดยหวังว่าประเทศจะมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอยู่เหนือระบอบการเมืองอย่างแท้จริงแต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ พระมหากษัตริย์ยังคงทรงอำนาจแทรกแซงเหนือการเมือง เมื่อเกิดรัฐประหารพระมหากษัตริย์ก็ทรงลงพระปรมาภิไธยแต่งตั้งหัวหน้ารัฐประหาร รวมทั้งถ่ายโอนงบประมาณแผ่นดินเป็นทรัพย์สินส่วนพระองค์ ทรงใช้พระราชอำนาจนอกกฎหมายแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ผ่านประชามติ และให้เสด็จไปประทับนอกราชอาณาจักรได้โดยไม่ต้องแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ รัฐบาลเผด็จการยอมสยบอยู่ภายใต้มือของพระมหากษัตริย์ด้วยอำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่เป็นประโยชน์ต่อพวกเขาเห็นได้ว่าพวกเขาเหล่านี้สมประโยชน์กันเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขราษฎรทั้งหลายพึงรู้เถิดว่ากษัตริย์ประเทศไทยนี้ไม่ได้ทรงอยู่เหนือการเมืองหากแต่เป็นรากเหง้าของปัญหาการเมืองตลอดมา นอกจากจะทรงละเลยหน้าที่การเป็นประมุขยึดเหนี่ยวจิตใจของประชาชนแล้วยังเสด็จไปเสวยสุขประทับอยู่ต่างแดน โดยใช้เงินภาษีของราษฎรทั้งที่ราษฎรประสบความยากลำบาก อีกทั้งยังมีสัมพันธ์แนบแน่นกับกลุ่มกบฏผู้ก่อการรัฐประหาร กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุมจึงเรียกร้องให้มีการแก้ไขปัญหาสถาบันพระมหากษัตริย์จำนวน 10 ข้อ"
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่มีบทลักษณะการห้ามใช้สิทธิและเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขปรากฏในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 มาตรา 63 รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 มาตรา 68 และรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มาตรา 49 และคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่18-22/2555 คําวินิจฉัยศาลรัฐนูญที่ 3/2562 ได้วางหลักคำว่าล้มล้างว่าเป็นภัยร้ายแรงต่อรัฐธรรมนูญและระบอบการปกครองตามรัฐธรรมนูญที่สุดวิสัยจะแก้ไขให้กลับคืนได้
นอกจากนั้นเป็นการกระทำที่มีเจตนาเพื่อทำลายหรือล้างผลาญ สูญสลาย หมดสิ้นไป ไม่ให้ดำรงอยู่หรือมีอยู่อีกต่อไปการใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อเรียกร้องให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ว่าด้วยพระราชฐานะของพระมหากษัตริย์ที่ทรงอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญอยู่เหนือความรับผิดชอบทางการเมืองตามหลักกฎหมายรัฐธรรมนูญที่ว่าพระมหากษัตริย์ทรงกระทำผิดมิได้และให้มีการยกเลิกกฎหมายที่ห้ามผู้ใดล่วงละเมิดหมิ่นประมาทพระบรมเดชานุภาพสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งการแก้ไขรัฐธรรมนูญและกฎหมายดังกล่าวจะส่งผลให้สถาบันพระมหากษัตริย์ไม่อยู่ในสถานะที่เคารพ สักการะ อันนำไปสู่การสร้างความปั่นป่วน และความกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพเกินความพอเหมาะพอควร โดยมีผลทำให้กระทบกระเทือนหรือเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของรัฐ ความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน และจะนำไปสู่การบ่อนทำลายการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขในที่สุด
พระมหากษัตริย์กับชาติไทยดำรงอยู่คู่กัน นับแต่อดีตถึงปัจจุบันและจะดำรงอยู่ด้วยกันต่อไปในอนาคตประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยแล้ว ปวงชนชาวไทยยังเห็นพ้องร่วมกันอัญเชิญพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเป็นสถาบันหลักคู่ชาติไทยและถวายความเคารพสักการะผู้ใดจะละเมิดมิได้ ทั้งนี้เพื่อธำรงความเป็นชาติไทยไว้ ดังปรากฏใน พ.ร.บ.ธรรมนูญการปกครองสยามชั่วคราวพุทธศักราช 2475 โดยมาตรา 1 บัญญัติว่าอำนาจสูงสุดของประเทศนั้นเป็นของราษฎรทั้งหลาย
มาตรา 2 บัญญัติว่า เมื่อมีบุคคลและคณะบุคคลดังจะกล่าวต่อไปนี้เป็นผู้ใช้อำนาจแทนราษฎรดังที่จะกล่าวต่อไปในรัฐธรรมนูญคือ 1 กษัตริย์ 2 สภาผู้แทนราษฎร 3 คณะกรรมการราษฎร 4 ศาล มาตรา 3 บัญญัติว่ากษัตริย์เป็นประมุขสูงสุดของประเทศพระราชบัญญัติก็ดี คำวินิจฉัยของศาลก็ดี การอื่นๆซึ่งจะมีกฎหมายบัญญัติเป็นการเฉพาะก็ดีจะต้องกระทำในนามกษัตริย์ ต่อมาเมื่อมีการตรารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยามเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2475 ในรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวบททั่วไปมาตรา 2 บัญญัติว่าอำนาจอธิปไตยย่อมาจากปวงชนชาวสยาม พระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นแต่โดยบทบัญญัติรัฐธรรมนูญนี้หมวด 1พระมหากษัตริย์หมวด 3 บัญญัติว่าองค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ มาตรา 5 ระบุว่าพระมหากษัตริย์ทรงดำรงตำแหน่งจอมทัพสยาม มาตรา 6 บัญญัติว่าพระมหากษัตริย์ทรงใช้อํานาจนิติบัญญัติโดยคำแนะนำและยินยอมของสภาผู้แทนราษฎร มาตรา 7 บัญญัติว่าพระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจบริหารทางคณะรัฐมนตรี
มาตรา 8 บัญญัติว่ามหากษัตริย์ทรงใช้อํานาจตุลาการทางศาลที่ได้ตั้งขึ้นตามกฎหมาย
จากบทบัญญัติในพ.ร.บ.ธรรมนูญการปกครองสยามชั่วคราวพุทธศักราช 2475และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยามฉบับดังกล่าวเห็นได้ว่าประวัติศาสตร์การปกครองของไทยนั้นอำนาจการปกครองเป็นของพระมหากษัตริย์มาโดยตลอดนับแต่ยุคสุโขทัย อยุธยา ตลอดจนรัตนโกสินทร์ พระมหากษัตริย์ซึ่งทรงเป็นประมุขของไทยมีพระราชภารกิจที่สำคัญยิ่งเพื่อรักษาความอยู่รอดของบ้านเมืองและประชาชนโดยจะต้องดำรงตำแหน่งจอมทัพไทยเพื่อนำกองทัพต่อสู้ปกป้องและขยายอาณาจักรตลอดเวลาในยุคก่อนที่ผ่านมา ประกอบกับพระมหากษัตริย์ไทยทรงถือหลักการปกครองโดยยึดหลักธรรมของพุทธศาสนาและยึดถือทศพิธราชธรรมเป็นหลักในการปกครองประเทศ พระมหากษัตริย์ของไทยจึงเป็นที่เคารพและศรัทธา เป็นศูนย์รวมจิตใจความเป็นหนึ่งเดียวกันของปวงชนชาวไทยมาโดยตลอดเป็นเวลามาหลายร้อยปี
ดังนั้น แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของไทยเมื่อปี 2475 คณะราษฎรผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงและประชาชนชาวไทยจึงเห็นพ้องกันในการอัญเชิญสถาบันพระมหากษัตริย์เพื่อเป็นทรงสถาบันหลักจะต้องคงอยู่กับการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองดังกล่าว โดยเรียกรูปแบบการปกครองนี้ว่าการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและราชอาณาจักรไทยได้คงไว้ซึ่งการปกครองนี้ต่อเนื่องมาโดยตลอดทำนองเดียวกับประเทศต่างๆ ที่มีความเป็นมาของชาติและเอกราชแตกต่างกันแต่สิ่งที่เหมือนกันประการหนึ่งคือเอกรัฐ หรือสัญลักษณ์ของชาติ รวมถึงทรัพย์สมบัติของชาติจะมีกฎหมายห้ามกระทำการอันเป็นมลทินที่ทำให้เสื่อมสภาพ เสียหายหรือชำรุด
“ข้อเรียกร้องที่ขอให้ยกเลิกรัฐธรรมนูญมาตรา 6 ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่รับรองพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในฐานะทรงเป็นประมุขของรัฐที่ผู้ใดจะกล่าวหาหรือละเมิดมิได้นั้นจึงเป็นการกระทำที่มีเจตนาทำลายล้างสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างชัดแจ้งการกระทำของผู้ถูกร้องทั้ง 3 เป็นการเซาะกร่อน บ่อนทำลายระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข การออกมาเรียกร้องโจมตีในที่สาธารณะโดยอ้างการใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ นอกจากเป็นวิถีที่ไม่ถูกต้อง ใช้ถ้อยคำหยาบคาย และยังไปละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนที่เห็นต่างได้ด้วย อันจะเป็นกรณีตัวอย่างให้คนอื่นทำตาม
ยิ่งกว่านั้นการกระทำของผู้ถูกร้องทั้ง 3 มีการดำเนินงานอย่างเป็นขบวนการเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายและการปราศรัยของผู้ถูกร้องทั้ง 3 เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม .63 ณ เวทีธรรมศาสตร์จะไม่ทน ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิตจะผ่านไปแล้ว ภายหลังจากที่นายณฐพร โตประยูร ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญก็ยังปรากฏว่าผู้ถูกร้องทั้ง 3 ยังคงร่วมชุมนุมกับกลุ่มต่างๆ โดยใช้ยุทธวิธีเปลี่ยนแปลงรูปแบบการชุมนุม วิธีการชุมนุม เปลี่ยนแปลงผู้ปราศรัย ใช้กลยุทธ์แบบไม่มีแกนนำที่ชัดเจน แต่มีรูปแบบการกระทำอย่างต่อเนื่องโดยกลุ่มคนที่มีแนวคิดเดียวกัน การเคลื่อนเคลื่อนไหวของผู้ถูกร้องทั้ง 3 และกลุ่มเครือข่ายที่เกี่ยวข้องมีลักษณะเป็นขบวนการเดียวกัน มีเจตนาเดียวกันตั้งแต่แรก ถูกผู้ถูกร้องทั้ง 3 มีพฤติการณ์กระทำซ้ำและกระทำต่อไปอย่างต่อเนื่องโดยมีการกระทำกันเป็นขบวนการซึ่งมีลักษณะของการปลุกระดม ให้ข้อมูลที่เป็นเท็จ มีลักษณะก่อให้เกิดความวุ่นวายและความรุนแรงในสังคม
ระบอบประชาธิปไตยมีหลักการสำคัญ 3 ประการ 1 เสรีภาพหมายถึงทุกคนมีสิทธิ์คิด พูดและทำอะไรก็ตามที่ไม่มีกฎหมายห้าม 2 เสมอภาคคือทุกคนมีความเท่าเทียมกัน 3 ภราดรภาพหมายถึงคนทั้งหลายมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันช่วยเหลือเกื้อกูลกันฉันท์พี่น้อง มีความสามัคคีกัน การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขนั้นด้วยความผูกพันของปวงชนชาวไทยกับสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีมาหลายร้อยปีพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขจึงได้รับความยินยอมจากปวงชนชาวไทยให้ทรงใช้อำนาจอธิปไตยตามรัฐธรรมนูญผ่านทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล สถาบันพระมหากษัตริย์ของไทยเป็นเสาหลักสำคัญที่จะขาดเสียไม่ได้ ในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ดังนั้น การกระทำใดๆ ที่มีเจตนาเพื่อทำลายหรือทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ต้องสิ้นสลายไป ไม่ว่าจะด้วยวิธีการพูด เขียนหรือการกระทำต่างๆเพื่อให้เกิดผลเป็นการบ่อนทำลาย ด้อยคุณค่า หรือทำให้อ่อนแอลง ย่อมแสดงให้เห็นถึงการมีเจตนาเพื่อล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ การใช้สิทธิเสรีภาพของผู้ถูกร้องทั้งสามไม่เป็นไปตามหลักการประชาธิปไตยการกระทำของผู้ถูกร้องทั้ง 3 เป็นการอ้างสิทธิเสรีภาพเพียงอย่างเดียวไม่ได้คำนึงถึงหลักความเสมอภาค ภราดรภาพ ผู้ถูกร้องทั้ง 3 ใช้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นโดยไม่รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างจากบุคคล รวมทั้งล่วงละเมิดสิทธิส่วนตัวของบุคคลอื่นที่เห็นต่างด้วย ด้วยการด่าทอ รบกวนพื้นที่ส่วนตัว ยุยงปลุกปั่น ด้วยข้อเท็จจริงที่บิดเบือนจากความเป็นจริง ซึ่งปรากฏข้อเท็จจริงว่าการกระทำของผู้ถูกร้องทั้ง 3 มีการจัดตั้งกลุ่มในลักษณะเป็นองค์กรเครือข่าย มีการใช้ความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง บางเหตุการณ์ผู้ถูกร้องทั้ง 3 มีส่วนในการจุดประกายในการอภิปรายปลุกเร้าให้เกิดความรุนแรงในบ้านเมืองทำให้เกิดความแตกแยกของคนในชาติอันเป็นการทำลายหลักความเสมอภาคและภราดรภาพผลการกระทำของผู้ถูกร้องทั้ง 3 นำไปสู่การล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
นอกจากนี้ ยังปรากฏว่าการชุมนุมหลายครั้งมีการทำลายพระบรมฉายาลักษณ์ของพระมหากษัตริย์ การแสดงออกโดยลบแถบสีน้ำเงินซึ่งเป็นสีของพระมหากษัตริย์ออกจากธงไตรรงค์ ข้อเรียกร้องสิทธิ์ 10 ข้อของผู้ถูกร้องทั้ง 3 เช่นการยกเลิกมาตรา 6 ของรัฐธรรมนูญ การยกเลิกการรับบริจาคโดยพระราชกุศล การยกเลิกพระราชอำนาจ และการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองในที่สาธารณะเป็นข้อเรียกร้องที่ทำให้สถานะของสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่เป็นไปตามประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยของชาติไทยที่ยึดถือปฏิบัติกันตลอดมา
ทั้งพฤติการณ์และเหตุการณ์ต่อเนื่องจากการกระทำของผู้ถูกร้องทั้ง 3 แสดงให้เห็นมูลเหตุจูงใจว่าผู้ถูกร้องทั้ง 3 มีเจตนาซ่อนเร้นเพื่อล้มล้างระบอบการปกครองประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่ใช่เป็นการปฏิรูป การใช้สิทธิและเสรีภาพของผู้ถูกร้องทั้ง 3 เป็นการแสดงความคิดเห็นที่ไม่สุจริต เป็นการละเมิดกฎหมายมีมูลเหตุจูงใจเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามมาตรา 49 วรรคหนึ่งแล้ว แม้เหตุการณ์ตามคำร้องผ่านพ้นไปแล้วแต่หากยังคงให้ผู้ถูกร้องทั้ง 3 รวมทั้งกลุ่มในลักษณะองค์กรเครือข่ายกระทำการดังกล่าวต่อไปย่อมย่อมไม่ไกลเกินเหตุที่จะนำไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รัฐธรรมนูญมาตรา 49 วรรคสองให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจสั่งการให้เลิกการกระทำดังกล่าวที่จะเกิดขึ้นอีกในอนาคตได้ ด้วยเหตุดังกล่าวจึงวินิจฉัยว่าการกระทำของผู้ถูกร้องทั้ง3เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตาม มาตรา 49 และสั่งการให้ผู้ถูกร้องทั้ง 3 รวมทั้งองค์กรเครือข่ายเลิกกระทำการดังกล่าวที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตด้วยตามมาตรา 49 วรรคสอง
สำหรับมติเสียงข้างมากคือ 8 ต่อ 1 เสียง โดยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เสียงข้างน้อย 1 เสียง คือ นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม
ไม่มีความคิดเห็น: