อย่าคิดแต่เรื่องเอาชนะทางการเมืองจน "ไฟใต้" ลุกลามถูกแบ่งแยกดินแดน

 


บทความ โดย ไชยยงค์ มณีพิลึก

แม้ข้อตกลงหยุดยิงช่วงรอมฎอนสันติได้สิ้นสุดไปตั้งแต่ 14 พ.ค. 2565 ถึงเวลานี้ยังไม่มีเหตุรุนแรงจากกองกำลังติดอาวุธบีอาร์เอ็น แต่สิ่งที่สังคมไทยต้องรับรู้และเข้าใจคือ ณ วันนี้ “สงครามแบ่งแยกดินแดน” ยุคใหม่ที่ปลายด้ามขวานเปลี่ยนไปแล้ว การก่อการร้ายเป็นเพียงกระพี้ของเกมที่ถูกกำหนดโดยองค์กรชาติตะวันตก

ความสำเร็จหรือล้มเหลวทางยุทธศาสตร์ของบีอาร์เอ็นขึ้นกับ “งานการเมือง” ทั้งในและนอกประเทศ ส่วนในพื้นที่เน้นสร้าง “กองกำลังเยาวชน” เพื่อปฏิบัติให้เป็นไปตามเงื่อนไขสหประชาชาติ การก่อเหตุโจมตีเจ้าหน้าที่รัฐ วินาศกรรมสถานที่ราชการ เข่นฆ่าประชาชน เป็นไปเพื่อแสดงให้เห็นถึงความรุนแรงจากการถูกกดขี่เท่านั้น

ยิ่งถ้ากองกำลังทหารในพื้นที่เอาแต่ตั้งรับอยู่แต่ในฐาน งดการบังคับใช้กฎหมาย ไม่มีการตามล่ากองกำลังติดอาวุธ และไม่มีการค้นหาว่า “แนวร่วม” ฝ่ายต่างๆ ที่ทำงานการเมืองเป็นใครและอยู่ที่ไหนบ้าง การปะทะด้วยอาวุธยิ่งแทบไม่มีทางเกิดขึ้นได้

สถานการณ์แบบนี้เปิดโอกาสเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ทั้ง “งานการเมือง” ของบีอาร์เอ็น ถือเป็นความสงบที่รอให้เกิด “สึนามิ” ตามมาได้ ซึ่งไม่ต่างจากช่วงก่อนปี 2536 ที่ฝ่ายความมั่นคงมั่นใจว่า ขบวนการแบ่งแยกดินแดนสิ้นไร้ศักยภาพ กลายเป็นโจรเรียกค่าคุ้มครองที่ไม่เป็นภัยต่อความมั่นคง

แต่เมื่อมีการเผาโรงเรียนคืนเดียว 36 โรง และมีปฏิบัติการก่อการร้ายต่อเนื่องตามมาจนถึงเหตุการณ์จุดไฟใต้ระลอกใหม่ต้นปี 2547 ฝ่ายความมั่นคงจึงงงเป็นไก่ตาแตก เพราะไม่รู้สาเหตุที่แท้จริง แต่พุ่งเป้าไปที่ “พรรคฝ่ายค้าน” ในขณะนั้นที่มี ส.ส.มุสลิมอยู่ในพื้นที่

เช่นเดียวกับความเงียบสงบที่เกิดขึ้นเวลานี้ ซึ่งฝ่ายความมั่นคงมั่นใจยิ่งว่า เกิดจากกระบวนการ “พูดคุยสันติสุข” ก่อนเข้าสู่เดือนรอมฎอน ที่ตัวแทนรัฐบาลไปลงนามหยุดยิงกับฝ่ายบีอาร์เอ็น และรับเงื่อนไขให้มีการพูดคุยครั้งต่อๆ ไป

ต้องไม่ลืมว่าหนึ่งในข้อเสนอที่ฝ่ายบีอาร์เอ็นต้องการคือ ให้มี “องค์กรต่างชาติ” จากประเทศที่ 3 ที่ไม่ใช่มาเลเซียร่วมเป็นสักขีพยานด้วย และโต๊ะพูดคุยถูกนิยามโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหมว่า “พูดคุยสันติสุข” ขณะที่ฝ่ายบีอาร์เอ็นเรียกว่า “เจรจาสันติภาพ” ซึ่งความหมายต่างกันราวฟ้ากับเหว

ณ วันนี้สถานการณ์ไฟใต้จึงถูกยกระดับสู่ความเป็น “สากล” และเดินไปตามทิศทางการกำหนดของ “องค์กรฝรั่งหัวแดง” ในฐานะ “คนกลาง” หรือ “ผู้ไกล่เกลี่ย”

มีเรื่องราวที่ฝ่ายความมั่นคงรัฐไทยกำลังเดินตามก้นฝรั่งชัดเจนคือ ปรากฏการณ์แรกปลายเดือน มิ.ย.ที่จะถึงนี้ เจ้าหน้าที่ระดับสูงของ “กองทัพไทย” จะไปดูงานสันติภาพที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดย “คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC)” ออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด

สิ่งที่ “ไอซีอาร์ซี” ต้องการคือให้ฝ่ายความมั่นคงรัฐไทยแก้ปัญหาไฟใต้ตามแนวทางที่พวกเขาวางไว้ ซึ่งก็เป็นไปตามความต้องการขององค์กรที่อยู่เหนือขึ้นไปจากไอซีอาร์ซีด้วยเช่นกัน ข่าวว่าคณะที่จะไปดูงานที่กรุงเจนีวาครั้งนี้ตื่นเต้นที่ได้ไปเที่ยวฟรีกินฟรี โดยไม่ได้สนใจถึง “ผลลัพธ์” ที่จะติดตามมาในอนาคต

แต่สำหรับบรรดา “แกนนำ” บีอาร์เอ็นได้ล่วงหน้าไปสัมมนาร่วมกับองค์กร “เจนีวาคอลล์” และ “ไอซีอาร์ซี” ที่กรุงเจนีวามาแล้วหลายต่อหลายรุ่น และต่อเนื่องมาหลายระลอกตลอด 4-5 ปีมานี้ ซึ่งถือเป็นการเตรียมตัวรอคณะของหน่วยงานความมั่นคงรัฐไทยที่เพิ่งจะได้ตื่นเต้นและดีใจกับเขาบ้าง

ปรากฎการณ์ที่ 2 พล.อ.พัลลภ รักเสนาะ หัวหน้าคณะพูดคุยสันติสุขฝ่ายไทยเตรียมนำ “นายพลนูร์” อดีตผู้บัญชาการตำรวจสันติบาลมาเลเซีย ผู้ทำหน้าที่อำนวยความสะดวกการพูดคุยเข้าพบกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ในฐานะประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) เพื่อการเดินหน้าโต๊ะเจรจาต่อไป

เหล่านี้น่าจะเป็นสิ่งที่ชี้ชัดว่าเรื่องราวไฟใต้ได้ถูกยกระดับสู่ “สากล” และขบวนการบีอาร์เอ็นก็ไม่ควรเป็นแค่ “องค์กรลับ” หรือ “องค์กรใต้ดิน” อีกต่อไป

ดังนั้น ถึงเวลาแล้วที่บีอาร์เอ็นต้องเผยตัวต่อคู่เจรจาให้ชัดเจนว่า ใครเป็นผู้นำที่แท้จริง และเขาจะต้องการเดินอย่างสง่าผ่าเผยเข้าสู่โต๊ะเจรจาด้วยตนเอง ไม่ควรที่จะใช้ตัวแทนอีกต่อไป โดยเฉพาะการใช้คณะเจรจาที่นำโดย “หิพนี มะเระ” ที่ต่างไม่เชื่อมั่นกันว่าเป็นผู้นำสูงสุดของขบวนการ

นอกจากนี้ยังมีข่าวอีกว่าคณะพูดคุยของรัฐไทยจะเชิญ “กัสตูรี่ มะห์โกตา “ หัวหน้าขบวนการพูโล 5 จี มาร่วมโต๊ะพูดคุยด้วย เพียงแค่ออกมาฟาดงวงฟาดงาแขวนป้ายผ้า และอ้างว่าเป็นผู้ก่อเหตุวางระเบิดช่วงเดือนรอมฎอนที่ อ.สายบุรี จ.ปัตตานี ทำให้มีคนไทยพุทธเสียชีวิต 1 ศพและทหารบาดเจ็บ 3 นาย

เรื่องนี้ต้องขอบอกชัดๆ ว่าถ้าฝ่ายความมั่นคง “คิดผิด” ก็ขอให้ “คิดใหม่” ได้นะ

เนื่องเพราะผู้นำพูโล 5 จีเวลานี้ไม่ได้มีน้ำยาอะไรที่รัฐไทยควรให้ค่า เขาเองก็มีองค์กรชาติตะวันตกบงการอยู่เบื้องหลัง ไม่อย่างนั้นต่อไปก็ต้องเชิญ “ซำซูดิง คาน” แกนนำกลุ่มพูโลเก่า และตัวแทนอีกมากมายหลายขบวนการที่ยังมีโครงสร้างอยู่ในต่างประเทศเข้าร่วมด้วย ซึ่งไม่อยากทำนายว่าต่อไปมาตรการดับไฟใต้จะเป็นอย่างไร

นั่นเป็นปรากฎการณ์ที่องค์กรต่างชาติบีบให้ไทยเดินตามเกมที่ต้องการ เพื่อการยกระดับบีอาร์เอ็นเป็นที่ยอมรับของนานาชาติ และยกระดับไฟใต้ให้เกินไปกว่าปัญหาภายในของไทย โดยมีเงื่อนไขให้สหประชาชาติได้เข้าร่วมเป็นตัวกำหนดเกมด้วย

แต่ที่ต้องตะโกนคำถามดังๆ คือ แล้วเหตุการณ์หลังเดือนรอมฎอนในพื้นที่ที่กลุ่ม “เปอร์มูดอ” และ “เปอร์มูดี” ออกมารวมตัวแสดงพลังและประกาศตั้ง “วันเยาวชนแห่งชาติปัตตานี” หน่วยงานความมั่นคงมีความเคลื่อนไหวอย่างไรกับเรื่องที่เกิดขึ้น

เวลานี้ทราบแต่เพียงว่า “ส่วนกลาง” ได้รับรายงานจาก “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ไปแล้วเกิดความไม่สบายใจยิ่ง โดยเฉพาะเกรงว่าจะมีการปกปิดข้อเท็จจริงเพื่อสร้างภาพให้เห็นว่าไฟใต้ดีขึ้น หรือไม่เกี่ยวข้องกับบีอาร์เอ็น แต่เป็นเรื่องของ “พรรคฝ่ายค้าน” ที่ต้องการสร้างฐานทางการเมืองในพื้นที่รับเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้น

ทั้งที่เป็นความเคลื่อนไหวของคนนับหมื่นที่ทั้งมี “เงื่อนงำ” และ “หมิ่นเหม่” เอามากๆ มิหนำซ้ำถึงเวลานี้ก็ยังมีภาคประชาสังคมใต้ปีกบีอาร์เอ็นจัดกิจกรรมต่อเนื่องมา อย่างการจัดเวทีว่าด้วยประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ถ้ามีการบิดเบือนหลักศาสนา สิ่งที่ตามมาคือการไฟสุมให้ลุกโชนยิ่งขึ้นหรือไม่

ปรากฏการณ์ต่างๆ เหล่านี้ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” มีท่าทีและจะหาทางแก้ไขอย่างไร

ทั้งหมดคือวิวัฒนาการไฟใต้ภายใต้ภาพที่เห็นว่าความรุนแรงลดลง เป็นสิ่งที่ทั้ง “พล.อ.ประยุทธ์” และ “พล.อ.ประวิตร” ต้องใส่ใจติดตาม ต้องไม่คิดแค่เป็นเรื่องการเมือง เรื่องการเอาชนะกันในสนามเลือกตั้ง เพราะนี่คือเรื่องของความเป็นความตายของผู้คนบนแผ่นดินไฟใต้
อย่าปล่อยให้ “นายพล” ทั้งในและนอกราชการเพียงไม่กี่คนนำแผ่นดินปลายด้ามขวานเดินไปสู่ “จุดอับ” เพราะจะเป็นการสร้างตราบาปให้แก่ประเทศชาติ ทำให้สังคมตราหน้าว่าเป็นผู้ที่ทำให้ไทยถูกแทรกแซงจาก “องค์กรต่างชาติ” นำไปสู่การถูกแบ่งแยกดินแดนในที่สุด

คำว่า “บูรณภาพแห่งดินแดน” ไม่ใช้หลักประกัน หากหน่วยงานความมั่นคงยังเดินตามก้นและเห็นฝรั่งหัวแดงเป็น “เทวดา” ว่าจะช่วยสร้างสันติภาพ

หากติดตามประวัติศาสตร์โลกจะพบว่า สันติภาพแบบที่ฝรั่งต้องการสร้างขึ้นในประเทศไทยก็คือ เราจะต้อง “เสียดินแดน” แบบเดียวกับกรณีติมอร์เลสเต อาเจะห์ หรือความวุ่นวายบนเกาะมินดาเนานั่นเป็นฝีมือของฝรั่งหัวแดงทั้งสิ้น

ไม่มีความคิดเห็น:

กระบวนการยุติธรรม

[๐ กระบวนการยุติธรรม][bleft]

อุบัติเหตุ

[๐ อุบัติเหตุ][twocolumns]

คุณภาพชีวิต

[๐ คุณภาพชีวิต][bsummary]

ชายแดนใต้

[๐ ชายแดนใต้][bleft]

บทความ

[๐ บทความ][bsummary]