ปัญหา "ยาเสพติด-ปืน" จะหมดไปได้อย่างไรเมื่อ "ส่วย" ยังคงสะพัดอยู่แทบทุกพื้นที่





บทความ โดย.. เมือง ไม้ขม

โศกนาฎกรรม ที่เกิดขึ้นกับศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก อบต.อุทัยสวรรค์ อ.นากลาง จ.หนองบัวลำภู ซึ่งมาจากฆาตกร ที่เป็นอดีตเจ้าหน้าที่ตำรวจ ยศ ส.ต.อ. ใช้ปืนและมีดเป็นอาวุธ ทำการก่อเหตุ จนทำให้เด็ก ครู ชาวบ้าน ลูก และเมีย รวมทั้งตัวฆาตกร รวมจำนวน 38 ชีวิต ต้องสูญเสีย โดยไม่มีเหตุอันควร ซึ่งเป็นเหตุการณ์ ที่ทำให้คนทั้งประเทศ ”ช็อก” เพราะเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นสำหรับประเทศไทย

ต้นสายปลายเหตุมาจากอะไร ไม่อยากไปตอกย้ำหรือรื้อฟื้น เพราะถึงอย่างไรก็ไม่อาจที่จะแก้ไขความผิดพลาดที่เกิดขึ้นให้กลับมาอย่างเดิมอีกต่อไป ประเด็นที่สังคมไทยต้องหยิบยกมาเป็นข้อพิจารณา เพื่อการแก้ไข อย่าให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีกในภายภาคหน้ามีเพียง 2 ประเด็นใหญ่

หนึ่ง คือเรื่อง “ยาเสพติด” และสองคือเรื่อง ”อาวุธปืน”

ทั้ง 2 เรื่องเกี่ยวพันกับนโยบายของรัฐบาลและของพรรคการเมือง โดยเฉพาะรัฐบาล ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ที่ต้องยอมรับว่า ยุคที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้ามาบริหารประเทศ นอกจากจะเป็นยุคแห่งการแพร่ระบาดของยาเสพติดอย่างกว้างขวาง แบบไม่เคยมีมาก่อน

ยังเป็นยุคที่ยาเสพติด ยาบ้า มีราคาที่ถูกที่สุดในโลก จากเม็ดละ 300 บาท เหลือเพียงเม็ดละ 20 บาทเท่านั้น

และเป็นยุคที่ประเทศไทย ไม่มีวันไหนที่ตื่นขึ้นมาแล้ว จะไม่เห็นข่าว "คนคลั่งยาบ้า” ก่อคดีมาตุฆาตปิตุฆาต หรือฆ่าและทำร้ายพ่อแม่ ตา ยาย ลุง ป้า น้า อา ของตนเอง รวมทั้งการอาละวาด ทำลายข้าวของ จุดไฟเผาบ้าน และก่ออาชญากรรมอื่นๆ เช่น ลักทรัพย์ ข่มขืน ฯลฯ

ก็รู้ว่า นายกรัฐมนตรีไม่ได้นิ่งเฉย เช่นเดียวกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา มท. 1 ที่ไม่ได้อยู่เฉย มีการสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการกับปัญหายาเสพติดมาโดยตลอด และมักจะยกเคสการที่เจ้าหน้าที่จับกุมผู้ค้ายาเสพติดรายใหญ่ๆ ครั้งละหลายล้านเม็ด มาเป็นผลงานของรัฐบาล



แต่...โดยข้อเท็จจริง ที่ “พี่น้องสาม ป.” ไม่รู้ก็คือ การจับกุมที่เป็นข่าวเป็นเพียง 10 ใน 100 รายของขบวนการค้ายาเสพติดเท่านั้น แสดงว่ายาเสพติดอีกมาก ที่ไม่ได้ถูกจับกุมจำนวนมหาศาล ถูกแพร่กระจายไปตั้งแต่หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด เจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการในพื้นที่ ไม่ได้สนใจกับคำสั่งของ “สาม ป.” ที่ให้มีการปราบปรามยาเสพติดให้สิ้นซากแต่อย่างใด

และในขณะเดียวกัน “สาม ป.” ก็ไม่ได้ติดตามถึงสถานการณ์การระบาดของยาเสพติดว่าการปราบปรามได้ผลหรือล้มเหลว สถานการณ์ที่แท้จริงเป็นอย่างไร

ที่สำคัญ เหมือนกับที่ ดร.ไตรรงค์ สุวรรณคีรี คนของพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาเปิดเผยว่า ปัญหาของยาเสพติดนั้น มาจากเจ้าหน้าที่เข้าไปมีผลประโยชน์และแสวงหาผลประโยชน์จากการค้ายาเสพติด ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง

เอาแค่ตำรวจในแต่ละพื้นที่ ซึ่งมีการตั้ง ฉก.ปราบยาเสพติด รู้เห็น มีรายชื่อผู้ค้ารายใหญ่รายเล็ก มีบัญชีอยู่ในมือ แต่บัญชีนั้น ไม่ได้ใช้ประโยชน์ในการจับกุม แต่ใช้ประโยชน์ในการเก็บส่วย เพื่อส่งให้หน่วยงาน และแต่ละหน่วยงานก็ส่งให้ส่วนกลาง

และแต่ละ ฉก. ที่ทำหน้าที่ปราบปรามยาเสพติด ไม่ว่าจะเป็นหน่วยไหนก็จะมี ”เซฟเฮ้าส์” เพื่อใช้ในการรีดเงินผู้ค้ารายใหญ่ เป็นที่รับรู้กันอย่างแพร่หลาย ยกเว้นส่วนกลาง ที่ไม่เคยรับรู้ถึงสถานการณ์ความเลวร้ายของปัญหายาเสพติดในประเทศไทย..

จึงขอให้ผู้หลักผู้ใหญ่ในส่วนกลางรับรู้ด้วยเถิดว่า เงินที่ทุกหน่วย ในทุกพื้นที่ “ส่งส่วย” เป็นรายเดือนให้พวกท่านนั้น ส่วนหนึ่งมาจากผลประโยชน์ของการค้ายาเสพติด โดยเฉพาะส่วยที่มาจากภาคใต้ ซึ่งเป็นปลายทางของยาเสพติดนั้น เป็นส่วยที่มหาศาลที่สุด และแม้แต่กองทัพภาคที่ 4 ที่แม่ทัพทุกคน มีนโยบายปราบปรามยาเสพติด ก็เอาไม่อยู่

เพราะไม่มีหน่วยงานไหนที่เอาจริงกับการจับกุมยาเสพติด ที่เป็นหม้อข้าวของตนเอง

บุคคลที่มีชื่อเสียงในจังหวัดชายแดนภาคใต้หลายคน ที่กระทบไหล่กับข้าราชการระดับสูงจนถึงรัฐมนตรีนั้น ล้วนเป็นบุคคลที่มีรายชื่อของผู้ค้ายาเสพติด แต่ไม่เคยมีหน่วยงานเอาจริงกับคนเหล่านั้น

ส่วนประเด็นเรื่องของ ”อาวุธปืน” ที่กรมการปกครองก็ไม่ได้ใส่ใจในรายละเอียด ปล่อยให้นายอำเภอ ซึ่งเป็นนายทะเบียนออกใบอนุญาต ให้มีการซื้ออาวุธปืนอย่างเสรี หลายท้องที่ ใครมีเงินจ่ายตั้งแต่ 10,000 บาทเพื่อเป็นส่วย ก็ซื้ออาวุธปืนได้ถูกต้องตามกฎหมาย

มีตัวอย่างมากมายที่นายอำเภอเป็นผู้หาประโยชน์กับใบอนุญาตในการมีอาวุธปืน และมีการออกใบอนุญาตให้ผู้ค้ายาเสพติด เช่น อดีตนายอำเภอ สิงหนคร จ.สงขลา ที่อนุญาตให้ผู้ค้ายาเสพติดครอบครองปืนอาวธสงคราม โดยอ้างว่าเป็นสายข่าวของฝ่ายปกครอง

และอดีตนายอำเภอสุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ที่อนุญาตให้นักค้ายาเสพติดรายใหญ่ ใน อ.สุไหงโก-ลก ซื้อปืนได้ 28 กระบอก ซึ่งเป็นเรื่องที่ ”เหลือเชื่อ”

ล่าสุด มีข่าวการตั้งคณะกรรมการสอบสวน “ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนราธิวาส” ในการออกเอกสารอำนวยความสะดวกให้ ”พ่อค้ายาเสพติด” รายใหญ่ในพื้นที่ ในการติดต่อราชการ



ทั้งหมด แสดงให้เห็นว่า รัฐบาล โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ พี่น้อง ”สาม ป.” ที่มีบทบาทกับประเด็นปัญหาของยาเสพติด ไม่ได้สำเหนียกถึงพิษภัยของยาเสพติด เพราะการสั่งการก็เป็นการสั่งตามหน้าที่ แต่ไม่ได้มีวาระแห่งชาติกับเรื่องการปราบปรามยาเสพติดแต่อย่างใด

สิ่งที่แสดงให้เห็นว่า รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ ”พี่น้อง สาม ป.” ไม่สำเหนียกใน "พิษภัย” ของยาเสพติด ที่ระบาดอย่างรุนแรงในประเทศไทย โดยเฉพาะในจังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ นโยบายกัญชาเสรี ที่เป็นเรื่องของยาเสพติด ที่นำเสนอโดย “พรรคภูมิใจไทย” ซึ่งเป็นนโยบาย ที่ซ้ำเติมสถานการณ์ของยาเสพติดที่รุนแรงอยู่แล้ว ให้รุนแรงยิ่งขึ้น

เพราะกัญชาก็เป็นยาเสพติดชนิดหนึ่ง เช่นเดียวกับพืชกระท่อม ที่แม้จะปลอดล็อกจากการเป็นยาเสพติด แต่โดยข้อเท็จจริง ที่ไม่ใช่ข้อกฎหมาย ทั้งกัญชาและกระท่อมก็ยังเป็นพืชเสพติด ที่ถ้าใช้อย่างเสรี ไม่มีกรอบของกฎหมาย ย่อมเป็นปัญหาต่อสังคมทั้งสิ้น

การเมืองของประเทศนี้อยู่ในช่วงหาเสียงสร้างค่านิยมให้คนเสพยาเสพติดและส่งเสริมให้คนขายยาเสพติดเป็นอาชีพ เพื่อผลประโยชน์ของการเมือง

และในฐานะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะที่เป็นนายกรัฐมนตรี รวมทั้งพรรคพลังประชารัฐ ที่เป็นพรรคแกนนำของรัฐบาล เห็นดีเห็นงามกับนโยบาย ”กัญชาเสรี” ซึ่งเป็นยาเสพติด ที่มีพิษภัยไม่ต่างกับยาเสพติดชนิดอื่น ถ้าใช้โดยไร้ความรับผิดชอบ และไร้กฎหมายควบคุม ก็ย่อมสร้างความเสียหายให้แก่สังคมได้ไม่ต่างจากยาเสพติดประเภทอื่นๆ

วันนี้ สังคมไทยไม่ได้ต่อต้านเฉพาะยาบ้า ไอซ์ เฮโรอีน ยาอี ยาเค แฮปปี้ฟลาย แต่สังคมไทยต่อต้านเรื่องของ ”กัญชาเสรี” ด้วย เพราะเขามองเห็นอันตรายของลูกหลาน ของเยาวชนในอนาคตว่า ลำพังยาบ้ายังสร้างความวินาศสันตะโรให้สังคมขนาดนี้

ถ้ามีเรื่องกัญชาเสรีเข้ามาผสมโรงด้วย อนาคตของลูกหลานของเขา อนาคตของเยาวชนไทย จะเละเทะขนาดไหน

ทั้งเรื่องอาวุธปืน ทั้งเรื่องยาเสพติด ล้วนเป็น ”ต้นทาง” ของการก่ออาชญากรรม และมีปลายทางที่เป็นโศกนาฏกรรม ที่ไม่ควรที่จะเกิดขึ้นอีกในอนาคต ก็ได้แต่หวังว่า โศกนาฎกรรมที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กอุทัยสวรรค์จะไม่เกิดขึ้นในประเทศไทยอีกเป็นครั้งที่ 2

และหวังว่า การแก้ปัญหายาเสพติดจะเป็นวาระแห่งชาติ และไม่เป็นเรื่องของไฟไหม้ฟางเหมือนกับหลายครั้งที่เกิดปัญหาขึ้น และมีการสั่งการให้เอาจริง แต่ไม่เคยทำได้จริง

จึงหวังว่าครั้งนี้ คำสั่งในการปราบปรามยาเสพติดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะมีความศักดิ์สิทธิ์ หรือมีน้ำยา และไม่เป็นเรื่องของ ”ไฟไหม้ฟาง” เหมือนกับหลายๆ เรื่อง

แม้แต่เรื่องของ ”ไฟใต้” ที่เป็นเรื่องของทหาร ที่ พล.อ.ประยุทธ์ มีอำนาจสั่งการโดยตรง ก็ยังมองไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์



และสุดท้าย เรื่องของยาเสพติดเป็นเรื่องเกี่ยวพันกับปัญหาเศรษฐกิจและปากท้องของประชาชน ถ้าการบริหารประเทศของนายกรัฐมนตรี ยังแก้ปัญหาเศรษฐกิจและปากท้องของคนจน ที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศไม่ได้

ยังปล่อยให้ "คนจน” จนต่อไป และกลายเป็นเครื่องมือของพ่อค้ายาเสพติด ก็ อย่าได้หวังว่า รัฐบาลชุดนี้จะแก้ปัญหาของยาเสพติดได้ผล

ไม่ได้สบประมาทใคร แต่นี้เป็นเรื่องจริงของสังคมไทย ที่ผู้บริหารประเทศต้องรับรู้ จึงจะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างได้ผล

ไม่มีความคิดเห็น:

ชายแดนใต้

[๐ ชายแดนใต้][bleft]

งานวิจัย

[๐ งานวิจัย][twocolumns]

คุณภาพชีวิต

[๐ คุณภาพชีวิต][bsummary]

กระบวนการยุติธรรม

[๐ กระบวนการยุติธรรม][bleft]

บทความ

[๐ บทความ][bsummary]

ศิลปวัฒนธรรม

[๐ ศิลปวัฒนธรรม][twocolumns]