“สส.สงขลา” เสนอยกระดับ ‘หาดใหญ่’ เป็นศูนย์กลางทางการเงินเทียบชั้นสิงคโปร์-ฮ่องกง
เศรษฐกิจ - สส.สงขลาแนะรัฐบาลยกระดับ "หาดใหญ่" ให้เป็นศูนย์กลางการเงินแห่งใหม่ของภูมิภาค เร่งการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ สร้างงาน สร้างโอกาส ให้คนในพื้นที่ภาคใต้ เพื่อเสริมสภาพคล่อง เพิ่มทุน ฟื้นกิจการ รวมทั้งการเริ่มต้นกิจการใหม่ หลังการฟื้นตัวจากวิกฤตโควิด-19
23 กุมภาพันธ์ 2567 - นายสรรเพชญ บุญญามณี สส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ควรยกระดับเมืองหาดใหญ่สู่ศูนย์กลางการเงินแห่งใหม่ของภูมิภาค เพื่อเสริมสภาพคล่อง เพิ่มทุน ฟื้นกิจการ รวมทั้งการเริ่มต้นกิจการใหม่ เนื่องจากขณะนี้ ภาคธุรกิจกลับมาฟื้นตัวอย่างช้าๆ หลังซบเซามานานหลายปีจากวิกฤตโควิด-19 แต่ยังมีปัญหาเรื้อรังของภาคธุรกิจ กลุ่มเอสเอ็มอีจำนวนมาก คือ การเข้าถึงแหล่งทุน ทั้งทุนหมุนเวียนระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งกลายเป็นข้อจำกัด โดยเฉพาะกับกลุ่ม SMEs และ Start Up เพราะต้องยอมรับว่าการเริ่มต้นนับหนึ่งทางธุรกิจมันไม่ง่ายในภาวะปัจจุบัน
“ผมคิดว่าข้อเสนอให้ยกระดับหาดใหญ่เป็นศูนย์กลางการเงินแห่งใหม่เทียบเท่าสิงคโปร์ หรือฮ่องกงนั้น เป็นเรื่องที่ค่อนข้างท้าทาย เพราะหาดใหญ่ถือเป็นเมืองเศรษฐกิจที่มีต้นทุนสูง หากผลักดันให้สำเร็จมันจะเป็นปัจจัยที่ทำให้ภาคใต้พัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด” นายสรรเพชญกล่าว
นายสรรเพชญกล่าวว่า พลวัตของหาดใหญ่ช่วง 3 ทศวรรษที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นว่า เมืองเติบโตมาจากการค้า การลงทุน จนส่งผลให้หาดใหญ่เป็นเมืองเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของภาคใต้ กอปรกับทำเลที่ตั้ง ที่ได้เปรียบเชิงภูมิรัฐศาสตร์ เพราะตั้งอยู่บนรอยต่อระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งยังมี อ.สะเดา พื้นที่ใกล้เคียงเป็นเมืองด่านชายแดน ที่มีมูลค่าการค้าเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ โดยการค้าชายแดนไทย-มาเลเซียในปี 2565 มีมูลค่ากว่า 3 แสนล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 31.76 ของมูลค่าการค้าชายแดนทั้งหมดของไทย ซึ่งส่วนใหญ่ผ่านด่านศุลกากรสะเดาและปาดังเบซาร์ นอกจากนี้ เศรษฐกิจหาดใหญ่ และพื้นที่โดยรอบ ยังขึ้นอยู่กับการท่องเที่ยว ดังจะเห็นได้ว่าปี 2565 มีนักท่องเที่ยวมาเลเซียมาเยือนไทยกว่า 2.9 ล้านคน คิดเป็นอันดับหนึ่งของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด
สส.สงขลากล่าวว่า หาดใหญ่ยังเป็นศูนย์กลางการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ในปัจจุบัน ที่รายล้อมไปด้วยระบบเศรษฐกิจที่หลากหลายรูปแบบ มากไปกว่านั้น หาดใหญ่ยังตั้งอยู่ในเขตการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย คือ อินโดนีเซีย–มาเลเซีย–ไทย (Indonesia–Malaysia–Thailand Growth Triangle: IMT-GT) โดยในปี 2565 มีมูลค่าการค้ารวมกว่า 727 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือราว 2.58 แสนล้านบาท) รวมทั้ง IMT–GT ยังประกอบด้วยแผนงานการลงทุนเมกะโปรเจกท์ในอนาคตที่สนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมและโลจิสติกส์ให้แก่พื้นที่ภาคใต้อีกหลายโครงการ เช่น โครงการมอเตอร์เวย์หาดใหญ่–สะเดา โครงการแลนด์บริดจ์ชุมพร–ระนอง เป็นต้น
“มันเป็นไปได้ครับ หากจะผลักดันหาดใหญ่ให้เทียบเท่าสิงคโปร์หรือฮ่องกง เพราะประวัติศาสตร์ของหาดใหญ่บอกเราเช่นนั้น แต่ผมอยากให้ดูความได้เปรียบ เทียบจากต้นทุนที่เรามี ซึ่งหาจากเมืองอื่นไม่ได้ เรานึกภาพ เมื่อไปสิงคโปร์ ฮ่องกง ตัวเลือกเราแทบจะน้อยสำหรับการท่องเที่ยวและพักผ่อน แต่หาดใหญ่ มองซ้าย มองขวา โดนขนาบข้างด้วยอันดามัน และอ่าวไทย มีเขตอารยธรรมสามจังหวัด ขึ้นเหนือ มีอารยธรรมศรีวิชัย เรามีแหล่งท่องเที่ยวทางอารยธรรม และธรรมชาติอยู่รอบๆ 360 องศา ตรงนี้ สำหรับผมมันคือ ความได้เปรียบ มากไปกว่านั้น หากเราดูแนวโน้มการพัฒนาในภูมิภาค จะเห็นว่า หาดใหญ่เป็นศูนย์กลางของเขตการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ เป็นเมืองการค้าชายแดนที่มีมูลค่าการค้ากว่าปีละหลายแสนล้านบาท ในปี 2565 มีมูลค่าการค้ากับมาเลเซียราว 3 แสนล้านบาท หรือเกือบ 1 ใน 3 ของการค้าชายแดนของไทย กับประเทศเพื่อนบ้านทั้งหมด โดยผ่านทางด่านศุลกากรสะเดา และปาดังเบซาร์เสียเป็นส่วนใหญ่” นายสรรเพชญกล่าว
นายสรรเพชญกล่าวว่า สำหรับการผลักดันหาดใหญ่สู่เมืองศูนย์กลางการเงินแห่งใหม่ของภูมิภาคนั้น จำเป็นต้องมี “3 พร้อม” คือ สภาพแวดล้อมพร้อม หมายถึง สภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการประกอบธุรกิจ ดึงดูดนักลงทุนให้เข้ามา ตรงนี้ จำเป็นต้องปลดล็อกข้อจำกัดต่าง ๆ ตั้งแต่การปฏิรูปกฎหมายที่เกี่ยวข้อง การลดขั้นตอนซ้ำซ้อน การคิดเรื่องสิทธิประโยชน์ทางภาษี การคุ้มครองและสิทธิประโยชน์อื่น ๆ จากการประกอบธุรกิจ
ประการที่สอง “โครงสร้างพื้นฐานพร้อม” ที่หมายถึงโครงสร้างเมือง ถนนหนทาง การสัญจร และโครงสร้างพื้นฐานระบบเทคโนโลยีสารสนเทศสมัยใหม่ที่เกี่ยวข้องกับภาคการเงิน หาดใหญ่มีความพร้อมเป็นทุนเดิม และหากต้องพัฒนาต่อยอด ภาคเอกชนเขาก็พร้อมจะลงทุน
ประการสุดท้ายคือ “บุคลากรพร้อม” เพื่อรองรับตลาดแรงงานที่จำเป็นต้องใช้ทักษะเฉพาะด้าน ซึ่งในพื้นที่เรามีสถาบันอุดมศึกษาชั้นนำ หลายสถาบัน รองรับการผลิตแรงงานอยู่แล้ว
“เมื่อคิดอย่างรอบด้าน หาดใหญ่จึงเป็นเมืองที่มีความพร้อมในทุกมิติ ยังคงขาดแต่นโยบายผลักดันที่เอาจริงเอาจังเท่านั้น หากฝ่ายบริหารเอาด้วย การแก้ไขกฎหมาย ระเบียบต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักลงทุนก็คงไม่ใช่เรื่องยาก และเมื่อทุนมากองอยู่ที่หาดใหญ่ มันจะทำให้ธุรกิจน้อยใหญ่ กลุ่ม SMEs มีแหล่งเงินทุนที่เข้าถึงง่าย ส่งผลให้เศรษฐกิจในภูมิภาคเกิดการพัฒนา และขยายตัวตามไปด้วย ผมเชื่อว่าศูนย์กลางการเงินนี้จะนำไปสู่การคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ ทางการเงินในอนาคต ซึ่งจะสร้างมูลค่าให้แก่ระบบเศรษฐกิจไทยอย่างมหาศาล อยากฝากให้หน่วยงานที่ดูแลภาพรวมของประเทศ ด้านเศรษฐกิจ ด้านการเงินอย่างสำนักงานสภาการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและธนาคารแห่งประเทศไทยเข้ามาร่วมผลักดัน ศึกษาแนวทางในเรื่องนี้อย่างจริงจังด้วยเพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศอย่างยั่งยืน” นายสรรเพชญกล่าว
ไม่มีความคิดเห็น: